ประธานฟุตบอลสเปนลาออกหลังเกิดกระแสข่าวจูบกับนักฟุตบอลหญิง
ลุยส์ รูเบียเลส ประธานสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งสเปน ได้ลาออกจากตําแหน่งกลางกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์หลังจูบนักฟุตบอลหญิงคนหนึ่งที่ริมฝีปากโดยดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยินยอม ทั้งนี้ เขาได้ถูกสมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) สั่งพักงานไปแล้ว และอาจต้องเผชิญกับการดําเนินคดีทางกฎหมายในเร็ววันนี้ เนื่องจากมีการยื่นฟ้องร้องต่อเขาไปแล้วหลายครั้ง
รูเบียเลสได้อธิบายผ่านรายการ Piers Morgan Uncensored เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เขาลาออกเพราะ “ผมไม่สามารถทํางานต่อไปได้” อดีตผู้นําวงการฟุตบอลเปิดเผยว่า ครอบครัวและเพื่อนสนิทแนะนําให้เขาลาออก
สมาพันธ์ฟุตบอลยืนยันในวันเดียวกันนั้นว่า รูเบียเลส “ได้ยื่นหนังสือลาออกในคืนนี้” และเขา “ยังลาออกจากตําแหน่งรองประธานยูฟ่า ด้วย“
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อัยการมาร์ตา ดูรันเตซ กิล ได้ยื่นฟ้องร้องต่อรูเบียเลสที่ศาลสูงสเปน กล่าวหาว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าเขาอาจมีความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศและบังคับ
เจนนี เฮร์โมโซ นักฟุตบอลหญิงที่อยู่ใจกลางของเรื่องนี้ ก็ได้ยื่นฟ้องร้องอาญาต่อรูเบียเลสในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ศาลสูงสเปนได้ระบุก่อนหน้านี้ว่า อดีตผู้นําสมาพันธ์ฟุตบอลอาจต้องโทษจําคุกสูงสุด 4 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศ
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว FIFA ได้สั่งพักงานรูเบียเลสเป็นเวลา 90 วัน ห้ามเขาเข้าร่วมกิจกรรมในระดับชาติและนานาชาติ ระหว่างรอการพิจารณาทางวินัยต่อเขา
หน่วยงานกีฬาของสเปนก็ได้สั่งพักประธานสมาพันธ์ฟุตบอลในขณะนั้น
เหตุการณ์ที่เป็นที่ถกเถียงกันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย หลังจากทีมชาติสเปนเอาชนะทีมชาติอังกฤษ 1-0 คว้าแชมป์โลกสตรีสมัยแรกในประวัติศาสตร์
รูเบียเลสคว้าศีรษะของเฮร์โมโซแล้วจูบเธอที่ริมฝีปาก ระหว่างพิธีมอบรางวัลที่ตามมาหลังจบเกม
ในตอนแรกผู้นําวงการฟุตบอลยืนยันว่าการจูบนั้นเป็น “การกระทําตามสัญชาตญาณ มีความสมัครใจร่วมกัน มีความดีใจอย่างมาก และได้รับความยินยอม“
อย่างไรก็ตาม เฮร์โมโซกล่าวว่าปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวทําให้เธอรู้สึก “อ่อนแอและเหมือนเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ” เธอเพิ่มเติมว่า การกระทํา “ตามอําเภอใจ แบบผู้ชายแสดงอํานาจ” ของรูเบียเลสเกิดขึ้น “โดยปราศจากการยินยอมใดๆ จากดิฉัน“
ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ประธานสมาพันธ์ฟุตบอลคนก่อนยืนกรานที่จะไม่ลาออก โดยอ้างว่าเขาตกเป็น “เป้าล่าม่าย” ของ “นักเคลื่อนไหวเฟมินิสต์เถื่อน“
อย่างไรก็ดี เขาได้ขอโทษสําหรับพฤติกรรมของตน และอธิบายว่าเป็น “ความผิดพลาด“