เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 64 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาทนายสมชาย นีละไพจิตร นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 พร้อมญาติผู้สูญหายในประเทศไทย และนักกิจกรรมจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย รวม 20 คน เดินทางยื่นหนังสือต่อ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีดีเอสไอ เพื่อทวงถามความคืบหน้าคดีและร่วมรำลึก 17 ปี การหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร และผู้สูญหายคนอื่นๆ
นางอังคณา กล่าวว่า เวลาผ่านไป 17 ปีแล้วกับการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร แต่จนถึงทุกวันนี้รัฐบาลยังไม่สามารถหาตัวคนผิดมาลงโทษได้ ขณะที่ตำรวจระบุว่าได้พยายามทำงานเพื่อติดตามคดี แต่ส่วนตัวก็มองว่าไม่มีอะไรคืบ หน้า ซึ่งคดีการหายตัวไปถือว่าเป็นการถูกบังคับให้สูญหาย และเป็นคดีแรกที่ถูกนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมจนถึงชั้นฎีกา แม้สุดท้ายศาลมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่าคดีบุคคลถูกบังคับให้สูญหายไม่มีความคืบหน้า แต่ก็ขอบคุณดีเอสไอที่ยืนยันว่าจะยังคงทำคดีอย่างต่อเนื่อง แต่หลักสำคัญที่จะบ่งบอกถึงความจริงใจว่า ยังมีความพยายามแก้ปัญหาการบังคับบุคคลสูญหาย คือบทบาทของรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งไม่เคยแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาเรื่องนี้
- ภาคปชช.จี้ปมโมเดลลิ่งส่งพริตตี้สายเอ็นร่วมปาร์ตี้เข้าข่ายค้ามนุษย์หรือไม่
- "พิ้งกี้"พาพ่อแม่เข้าพบดีเอสไอปฏิเสธข้อกล่าวหาคดีฟอกเงินแชร์ Forex-3D
นางอังคณา กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามในการผลักดันร่าง พรบ.ลงนามอนุสัญญาคนหายของสหประชาชาติ เข้าสภาตั้งแต่ปี 2555 แต่จจนถึงขณะนี้เกือบ 10 ปี รัฐบาลไม่เคยพูดถึง และแม้จะมีการตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบกรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้สูญหาย แต่คณะกรรมการชุดนี้กลับพยายามลบชื่อผู้สูญหายในไทยออกจากรายชื่อของคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจขององค์การสหประชาชาติ มากกว่าการเปิดเผยที่อยู่และชะตากรรมของผู้สูญหาย หรือนำคนผิดมาลงโทษ และชดใช้เยียวยาเหยื่อและครอบครัว จึงไม่แปลกใจที่ไม่เคยได้ยิน พล.อ.ประยุทธ์ เอ่ยชื่อผู้สูญหายในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องทางการไทยให้ผ่านร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ … เพื่อสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศไทย ป้องกันการอุ้มหายอย่างมีมาตรฐานในอนาคต
ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า ดีเอสไอติดตามคดีคนสูญหายมาโดยตลอดและทุ่มเทการทำงานตั้งแต่ตนเองมารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งการสูญหายเป็นระยะเวลานานก็มีผลทำให้พยานหลักฐานสำคัญสูญหาย ซึ่งก็มีผลต่อรูปคดี แต่อย่างไรก็ตามดีเอสไอก็จะพยายามติดตามและหาหลักฐานประกอบคดีให้ถึงที่สุดเพื่อจะได้กระจ่าง เพราะเป็นห่วงความรู้สึกครอบครัวของผู้สูญเสีย