ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่า สถานะหัวใจยังคงเหมือนเดิม สำหรับพระเอกหนุ่ม ตงตง กฤษกร หลังมีกระแสดราม่ารักร้าวแฟนสาว เบสท์ รักษ์วนีย์ เพราะไร้ภาพหวานบนโลกโซเชียล แถมยังโดนโยงข่าวเม้าท์ ‘คู่รักไม่กล้าเลิก เพราะกลัวพ่อฝ่ายหญิง?’
โดยงานนี้นอกจากเจ้าตัวจะออกมาเคลียร์ทุกประเด็นร้อนให้แฟนๆ ได้หายสงสัยแล้ว ตงตง ก็ยังเผยอีกว่า ช่วงนี้ทำงานหนักเลยอยากให้ทุกคนเข้าใจภาระหน้าที่ของตนเองด้วย
“ช่วงนี้ผมทำงานหนัก ผมจริงจังกับงานละครหนักมาก แฟนๆ ก็เลยจะไม่ค่อยได้เห็นผมอัปนั่นอัปนี่ลงโซเชียล แต่เรา 2 คนยังคุยกันอยู่ครับ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมครับ ถามว่าการที่ผมไม่มีเวลามีผลกระทบบ้างไหม เอ่อ… เขาก็คงคิดครับว่าผมไปทำงานหนักมากเกิน แต่ก็ต้องเข้าใจ เพราะว่าละครเรื่องนี้มันหนักมากจริงๆ แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย”
เขาบ่นไหมที่ไม่ค่อยมีเวลา ?
“มีนิดหนึ่งครับ มีนิดหนึ่ง”
แฟนๆ ถามหาเยอะไหม เรื่องภาพคู่ของเรา 2 คน ?
“มีครับ แต่ผมก็อยากให้ทุกคนเข้าใจ เพราะตอนนี้ผมเองก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนเลย ผมทำงานอย่างเดียวจริงๆ”
ใกล้ถึงช่วงหยุดยาวแล้ว จะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเพิ่มขึ้นไหม ?
“ผมอาจจะกลับบ้านครับ แต่ยังไม่ได้ชวนเขาเลย เพราะทริปนี้ผมตั้งใจจะกลับไปร่วมงานรับปริญญาของพี่ชาย และก็กลับไปค่อนข้างหลายวัน ก็เลยไม่ได้ชวน”
คู่เราโดนโยงตลอด เวลามีข่าวดาราเลิก ?
“เราก็ทำของเราให้ดีที่สุดครับ เราอยู่กับปัจจุบันของเรา และผมก็ทำงานจริงๆ ซึ่งผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไมอาจจะไม่ได้เห็นเราเหมือนเมื่อก่อน”
ไม่มีรูปคู่ ไม่ได้หมายความว่าเลิก ?
“ใช่ครับใช่”
จะมีโอกาสได้เห็นอีกใช่ไหม รูปหวานๆ ของเรา ?
“มีครับ และอย่างที่บอกผมอยากให้ทุกคนเข้าใจ อยากให้มันเป็นเรื่องของอนาคตอะไรมันจะเป็นยังไง อยากให้ทุกคนเข้าใจ ซึ่งหลักๆ คือผมเพิ่งซื้อบ้าน และผมก็อยากจะจริงจังกับการทำงาน เพราะมันต้องมีค่าใช้จ่าย อยากให้ทุกคนเช้าใจด้วยครับ”
ก่อนหน้านี้มีข่าว คู่ดาราไม่กล้าเลิก เพราะผู้ชายกลัวพ่อฝ่ายหญิง คู่เราก็โดนโยงอีก ?
“มันไม่เกี่ยวครับ และเราเองก็ยังไม่ได้เลิกหรือว่าอะไรเลย แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมว่ามันก็ไม่เกี่ยวหรอก ว่าจะต้องเลิกไม่เลิก หรือจะต้องกลัวคุณพ่อ เพราะสุดท้ายแล้วความรักมันก็คือความรักของผมกับเบสท์ ถ้าวันหนึ่งมันมีอะไรเกิดขึ้น ผมคิดว่าคุณพ่อคุณแม่ก็คงเข้าใจ”
ในความสัมพันธ์ คุณพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องมากแค่ไหน ?
“มีครับ เพราะความรักก็จะมีทั้งแฮปปี้ มีทั้งทะเลาะ ซึ่งคุณพ่อเขาก็จะมาเป็นคนกลางคอยพูดให้เราเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นตรงกลางให้เรา”